เจิ้งเหอ: ความสำคัญที่มีต่ออิสลามและเอเชีย ตอนที่ 1
เจิ้งเหอ นักเดินเรือชาวจีนมุสลิมผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุคคลสำคัญที่เชื่อมโยงอารยธรรมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกันในศตวรรษที่ 15 ชีวิตและผลงานของท่านได้สร้างผลกระทบอันลึกซึ้งต่อการแพร่ขยายของศาสนาอิสลาม การค้าขายระหว่างทวีป และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่คงอยู่จนถึงปัจจุบัน
เจิ้งเหอเกิดในปี ค.ศ. 1371 (พ.ศ. 1914) ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ชื่อเดิมว่า “หม่าเหอ” เกิดในครอบครัวมุสลิมชนชั้นปกครองที่มีเชื้อสายเปอร์เซีย ในวัยเพียง 11 ปี เขาถูกกองทัพราชวงศ์หมิงจับเป็นเชลยและตอนให้เป็นขันที ก่อนถูกส่งไปรับใช้องค์ชายจูตี้ ซึ่งต่อมาคือจักรพรรดิหย่งเล่อ ด้วยความภักดีและความสามารถในการบัญชาการ เจิ้งเหอได้รับพระราชทานนามสกุลเป็น "เจิ้ง" หลังจากช่วยองค์ชายชิงชัยในสงครามกลางเมือง
การเดินทางสมุทรยาตราครั้งยิ่งใหญ่ของเจิ้งเหอเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1405-1433 รวม 7 ครั้ง ครอบคลุมระยะเวลากว่า 28 ปี กองเรือมหาสมบัติภายใต้การนำของท่าน ได้เดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ กว่า 37 ประเทศ รวมระยะทางมากกว่า 50,000 กิโลเมตร เส้นทางการเดินทางครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ศรีลังกา ตะวันออกกลาง และชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา
เจิ้งเหอมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการแพร่ขยายของศาสนาอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิจัยหลายท่านสรุปว่า เจิ้งเหอและกองเรือมหาสมบัติของท่าน เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้อิสลามแพร่หลายในภูมิภาคนี้ในช่วงศตวรรษที่ 15 แม้ชาวอาหรับได้สร้างชุมชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แต่อิสลามมิได้กลายเป็นศาสนาหลักจนกระทั่งศตวรรษที่ 15 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เจิ้งเหอเริ่มการเดินทางสมุทรยาตรา
หลักฐานสำคัญของงานเผยแผ่ศาสนาของเจิ้งเหอ ถูกค้นพบในเมืองเซมารัง ประเทศอินโดนีเซีย โดยเจ้าหน้าที่ดัตช์ในปี ค.ศ. 1925 ชัยชนะครั้งสำคัญของเจิ้งเหอ คือการทำให้พระเจ้าปรเมศวร กษัตริย์แห่งมะละกา เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม หลังจากเดินทางไปถวายบังคมแด่จักรพรรดิหย่งเล่อในปี ค.ศ. 1411 การเปลี่ยนใจเลื่อมใสครั้งนี้ มีบทบาทสำคัญต่อการแพร่กระจายของอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งภูมิภาค
การเดินทางสมุทรยาตราของเจิ้งเหอ ได้สร้างผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางต่อภูมิภาคเอเชีย ท่านได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอาณาจักรต่าง ๆ มากมาย แสดงให้เห็นถึงอำนาจและความมั่งคั่งของราชวงศ์หมิง นอกจากนี้ เจิ้งเหอยังได้ปราบปรามโจรสลัด เช่น การจับโจรสลัดเฉินจู่อี ผู้ก่อความวุ่นวายในช่องแคบมะละกา ทำให้ท่านได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เจิ้งเหอได้นำระบบการค้าขายระหว่างประเทศมาสู่ยุคทองของการแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรม การเดินทางของท่านได้สร้างเส้นทางการค้าที่เชื่อมโยงจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และตะวันออกกลาย ความสำเร็จในการทูตและการค้าของเจิ้งเหอ ได้เสริมสร้างมุมมองว่า จีนเป็นมหาอำนาจหลักในภูมิภาคและเป็นแหล่งความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เจิ้งเหอมีความผูกพันพิเศษกับประเทศไทย โดยเชื่อกันว่า ท่านได้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาอย่างน้อย 3 ครั้ง ความเชื่อที่น่าสนใจ คือการที่ชาวไทยและชาวจีนในไทยได้บูชาเจิ้งเหอผ่านพระพุทธรูปที่เรียกว่า "หลวงพ่อโต ซําปอกง" ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระพุทธรูปองค์ใหญ่แห่งนี้ ต่อมาชาวจีนจึงขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "ซําปอกง" ซึ่งเป็นชื่อเรียกของเจิ้งเหอ โดยคำว่า "ซําปอ" แปลว่า "ไตรรัตน์" ในภาษาจีน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามพระพุทธรูปนี้ว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก" โดยคำว่า "นายก" สะท้อนถึงบทบาทของเจิ้งเหอในฐานะผู้นำกองเรือมหาสมบัติ
การบูชาเจิ้งเหอในไทยแพร่หลายอยู่ทั่วประเทศ มีทั้งรูปเคารพในวัดไทยและศาลเจ้าจีน ความศรัทธาต่อเจิ้งเหอของชาวไทยสะท้อนถึงมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยและจีน รวมถึงการหลอมรวมของวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาที่กลมกลืนกันอย่างงดงาม
เจิ้งเหอ จึงไม่เพียงเป็นนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญที่เชื่อมโยงศาสนา วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างชาติในเอเชีย มรดกของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนจนถึงปัจจุบัน
------------------------
ผศ.ดร. วิศรุต เลาะวิถี